Last updated: 24 ธ.ค. 2568 | 45 จำนวนผู้เข้าชม |
เจาะลึกความแตกต่าง: Perfume, EDP, EDT และ EDC เลือกแบบไหนมาทำแบรนด์ดี?
เคยสงสัยไหมครับว่า ทำไมน้ำหอมขวดนิดเดียวราคาถึงต่างกันหลักพัน? คำตอบส่วนใหญ่อยู่ที่ "ความเข้มข้นของหัวเชื้อน้ำหอม" (Fragrance Concentration) ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความหอมฟุ้งและระยะเวลาการติดทน

สำหรับใครที่กำลังจะสร้างแบรนด์ มาทำความเข้าใจกันครับว่าแต่ละประเภทต่างกันอย่างไร และแบบไหนที่เหมาะกับแบรนด์ของคุณที่สุด
1. Perfume (Parfum) – ที่สุดของความเข้มข้น
ความเข้มข้น: 20% – 40%
ติดทนนาน: 8 – 24 ชั่วโมง
เหมาะสำหรับ: แบรนด์ระดับ Ultra-Premium หรือ Niche ที่เน้นความหรูหรา กลิ่นจะนุ่มนวล ไม่ฉุนแอลกอฮอล์ แต่ราคาทุนต่อขวดจะสูงที่สุด
2. Eau de Parfum (EDP) – พิมพ์นิยมของตลาดพรีเมียม
ความเข้มข้น: 15% – 20%
ติดทนนาน: 6 – 8 ชั่วโมง
เหมาะสำหรับ: การเริ่มต้นทำแบรนด์น้ำหอมฉีดตัว เพราะเป็นค่ามาตรฐานที่ลูกค้าพอใจในเรื่องความทน เหมาะกับอากาศเมืองไทย และทำราคาขายได้ตั้งแต่ระดับกลางถึงสูง
3. Eau de Toilette (EDT) – กลิ่นเบาสบาย ราคามิตรภาพ
ความเข้มข้น: 5% – 15%
ติดทนนาน: 3 – 5 ชั่วโมง
เหมาะสำหรับ: แบรนด์ที่เน้นกลุ่มวัยรุ่น วัยทำงานที่ชอบฉีดระหว่างวัน หรือน้ำหอมที่เน้นความสดชื่น (Fresh) กลิ่นจะฟุ้งกระจายตัวได้ดีในช่วงแรก แต่ต้องฉีดซ้ำบ่อยกว่า EDP
4. Eau de Cologne (EDC) – ความสดชื่นที่บางเบา
ความเข้มข้น: 2% – 4%
ติดทนนาน: 2 ชั่วโมง
เหมาะสำหรับ: สินค้ากลุ่ม Aftershave, สเปรย์ฉีดตัว (Body Mist) หรือแบรนด์ที่เน้นราคาประหยัด เน้นความสดชื่นหลังอาบน้ำ

ทำแบรนด์แบบไหนดี? (คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ)
ถ้าคุณคือ มือใหม่ ผมแนะนำให้เริ่มที่ Eau de Parfum (EDP) ครับ เพราะ:
1. ความคุ้มค่า: ลูกค้าชาวไทยให้ความสำคัญกับคำว่า "ติดทน" มากที่สุด ซึ่ง EDP ตอบโจทย์นี้ได้ดีในราคาที่จับต้องได้
2. ภาพลักษณ์: ช่วยให้แบรนด์ดู Professional และมีระดับมากกว่าการทำสเปรย์ฉีดตัวทั่วไป
3. มาร์จิ้นกำไร: คุณสามารถตั้งราคาที่ครอบคลุมค่าการตลาดและการออกแบบ Packaging ได้ดีกว่ากลุ่มราคาประหยัด
6 ก.พ. 2568